พาเด็กเที่ยวพิพิธภัณฑ์ จุดประกายอาชีพในฝัน
แรงบันดาลใจไม่มีขายที่ไหน อยากได้ต้องออกไปค้นหาเอง โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าโตขึ้นไปแล้วอยากจะทำอาชีพเป็นอะไรกัน ยิ่งต้องมีแรงบันดาลใจเป็นตัวผลักดัน สำหรับคนเป็นพ่อแม่ ถ้าลูกสนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษก็อยากสนับสนุนเขาให้เต็มที่ แล้วเชื่อหรือไม่ว่าพิพิธภัณฑ์เป็นที่ที่สร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี เพราะว่าเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจที่เราไม่เคยรู้มาก่อนและมีสิ่งของหายากให้ดูอีกเพียบ
พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันนี้เราขอแนะนำพิพิธภัณฑ์ที่จะช่วยจุดประกายความฝันให้กับพวกเขาว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไรกัน ไม่แน่ว่าเด็กหลาย ๆ คนอาจจะโตขึ้นไปเป็นคนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะได้แรงบันดาลใจจากการเที่ยววันนี้ ถึงตอนนี้จะยังพาไปไม่ได้เพราะมีสถานการณ์โควิด-19 แต่เก็บไว้เป็นข้อมูล พอสถานการณ์กลับมาเป็นปกติสามารถพาเด็ก ๆ ออกไปเปิดโลกอีกครั้ง หลังจากต้องเก็บตัวอยู่บ้านเป็นเดือน ๆ
ใครที่มีลูกชอบสะสมซากแมลง ซากสัตว์ แล้วตกใจ งานอดิเรกลูกประหลาดจนพ่อแม่รับไม่ได้ แต่เมื่อเป็นความชอบของเขา เราจะผลักดันอย่างไรให้ถูกทาง และเป็นแรงบันดาลใจในการหาความรู้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว การที่เด็กๆ เก็บสะสมซากสัตว์ ซากแมลงไม่ใช่เรื่องแปลก ในญี่ปุ่นเป็นงานอดิเรกยอดฮิตที่ปลูกฝังให้เด็กสนใจธรรมชาติ
ลองพาลูก ๆ มาที่พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติวิทยาแห่งแรกของประเทศไทย และมีความสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการเก็บรวบรวมตัวอย่างสิ่งมีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่และที่ค้นพบใหม่ในไทย มาจัดแสดงให้ได้ชมกัน เช่น ซากดึกดำบรรพ์ โครงกระดูก ตัวอย่างเปลือกหอย ตัวอย่างตะพาบม่านลาย ซึ่งพบแค่ที่ไทยเพียงแห่งเดียวในโลก การเดินทางก็สุดแสนจะสะดวกสบายจะขับรถมาเอง หรือมาด้วย MRT ลงสถานีสยาม เดินไปอีกนิดก็ถึงเลย
เมื่อเข้ามาภายในพิพิธภัณฑ์แล้วเราจะสัมผัสได้ถึงความเก่าแก่คลาสสิก แม้พิพิธภัณฑ์จะเปิดในปี พ.ศ. 2530 แต่ตู้และเครื่องเรือนหลายชิ้นมีอายุมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 ซึ่งจัดแสดงคอลเลกชันโครงกระดูกสัตว์ที่สมบูรณ์ สัตว์สตัฟฟ์ที่มาจากทั่วโลก สัตว์ที่ดองอยู่ในขวดแก้ว มีโครงกระดูกมนุษย์ด้วย แต่เห็นแล้วไม่ได้ดูน่ากลัวเลย กลับเสริมสร้างจินตนาการว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่และมีสิ่งมีชีวิตที่เราไม่รู้จักอีกมาก และด้วยความที่เป็นสัตว์ที่ตายแล้ว ทำให้เรามองดูได้อย่างใกล้ชิด เพ่งมองดูรายละเอียดได้อย่างเต็มที่
ห้องจัดแสดงต่าง ๆ ที่เราชอบและใช้เวลาอยู่นานที่สุดคือพิพิธภัณฑ์เต่าและตะพาบ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีคอลเลกชันซากเต่าและตะพาบที่สมบูรณ์ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแบบนี้ และเพราะเต่าเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำที่เราไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อย ๆ เราจึงตื่นเต้นที่รู้ว่าเมืองไทยมีเต่าหลากหลายสายพันธุ์มากถึงขนาดนี้ และเต่าบางตัวก็มีเรื่องที่ชวนให้ขนหัวลุกมาเล่าให้ฟังด้วย อย่างเต่าตนุตัวใหญ่ที่ถูกซัดขึ้นฝั่งตายตอนเกิดสึนามิเมื่อปี พ.ศ. 2547 และถูกส่งมาฉีดฟอร์มาลีนเพื่อเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งอาจารย์ท่านหนึ่งนำกลับไปฉีดฟอร์มาลีนที่บ้าน และคืนนั้นเอง อาจารย์ก็ได้เจอเรื่องชวนขนหัวลุก เพราะได้เห็นภาพชาวต่างชาติหลายคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านตัวเอง ซึ่งคาดว่าเป็นวิญญาณของผู้เสียชีวิตจากเหตุสึนามิที่เร่ร่อนตามเต่าตัวนี้มา (เป็นความเชื่อส่วนบุคล โปรดใช้วิจารณญาณ)
เบรคจากเรื่องสยอง ๆ ลองมาเดินชมสิ่งมีชีวิตสวย ๆ อย่างผีเสื้อกันบ้าง ซึ่งแม้จะเป็นแมลงที่เราพบเห็นได้ทั่วไปตามสวนต่าง ๆ แต่ที่นี่เขารวบรวมผีเสื้อที่ปรากฎในวรรรณคดีไทยเรื่องเงาะป่าได้อย่างครบถ้วน มีทั้งจัดวางในตู้โชว์จำลองสภาพตามธรรมชาติของผีเสื้อและวางเรียงกันตามสายพันธุ์ให้เราเห็นความแตกต่างได้ง่ายๆ
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือ ซากของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรที่สูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 30 ปี ซึ่งที่นี่มีสตัฟฟ์ไว้ถึง 2 ตัว นับว่าเป็นของที่หาดูยาก เพราะแม้แต่ซากสตัฟฟ์ของนกชนิดนี้ในประเทศไทยมีอยู่ไม่ถึง 10 ตัว บอกแล้วที่นี่มีแต่ของหาดูยาก
เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่าแม้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะดูเก่าแก่ แต่เด็ก ๆ ที่ได้เข้ามาแล้วติดใจกันทุกคน เด็กส่วนมากจะชอบดูซากและโครงกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่ อย่างจระเข้ ม้า ช้าง หรืองู เพราะเด็ก ๆ ที่โตในเมืองไม่ค่อยได้เห็น และที่นี่เขาก็สนับสนุนให้เด็กวิ่งเล่นได้ เพราะอยากให้เด็กรู้สึกสนุกสนานกับการมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ และหวังว่าเด็ก ๆ จะมีแรงบันดาลใจออกไปค้นหาสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน
พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่ ตึกชีววิทยา 1 ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ เปิดให้เข้าชมได้วันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9:00 – 16:00 น. เข้าชมได้ฟรี ขับรถมาจอดได้ที่อาคารจอดรถจักรีสิรินธรในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือจะจอดที่จามจุรีสแควร์ หรือสามย่านมิตรทาวน์ก็ได้ เดินมาไม่ไกล
พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน
เด็กเดี๋ยวนี้เรียนรู้ไว เขาอาจอยากเริ่มเทรดหุ้นตั้งแต่เด็กก็ได้ เพราะเด็กยุคอัลฟ่าเติบโตกับเทคโนโลยีและข้อมูล อีกทั้งยังมองเห็นว่าเงินคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความมั่นคง พ่อแม่อย่างเราก็ต้องส่งเสริมให้ลูกรู้จักการอดออมและการลงทุน จึงเป็นเรื่องดีที่เราจะพาเด็ก ๆ มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน ที่ตลาดหลักทรัพย์ SET บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งที่นี่เขาออกแบบพิพิธภัณฑ์ให้มีความเป็นกันเอง ทำให้เรื่องการเงินกลายเป็นเรื่องสนุกและเข้าใจง่าย
การเดินทางมาที่นี่ก็ง่ายมาก ๆ จะขับรถมาเองหรือจะนั่ง MRT มาลงที่สถานีศูนย์วัฒนธรรม แล้วออกประตูหมายเลข 3 ก็ถึงเลย เดินเข้าในตึกแล้วลงมาที่ชั้น B1 จะเจอกับรูปปั้นพี่กระทิงและพี่หมีนั่งรอต้อนรับอยู่ที่หน้าทางเข้า สงสัยกันมั้ยว่าทำไมต้องเป็นกระทิงกับหมี เพราะในวงการตลาดหุ้น กระทิงเป็นตัวแทนตลาดขาขึ้น ส่วนหมีหมายถึงตลาดขาลง เหมือนเป็นสัจธรรมว่าหุ้นก็ต้องมีขึ้นมีลง มาถึงที่นี่แล้วอย่าลืมรีบถ่ายรูปกับพี่กระทิงและพี่หมีก่อน แล้วค่อยซื้อตั๋วเที่ยวข้างในกัน
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีความทันสมัย มีการใช้เทคโนโลยีจำลองรูปแบบการใช้เงินเพื่อให้ผู้มาเยือนได้ทดลองซื้อขายหลักทรัพย์ เพื่อดูความพร้อมด้านการเงินของตัวเองและเรียนรู้เรื่องความสำคัญของการลงทุน โดยจะมีตัวการ์ตูน Money Monsters ที่จะพยายามเพิ่มรายจ่ายและเอาเงินจากกระเป๋าเราไป แค่ตอนเริ่มต้น เจ้า Money Monsters ก็จะแสดงความโหดร้ายให้เห็นว่าชีวิตแต่ละวันของเรามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
ผู้มาเที่ยวทุกคนจะได้บัตรประจำตัวที่ตอนแรกต้องกรอกข้อมูล แนะนำให้กรอกข้อมูลให้ตรงกับความเป็นจริง เพื่อประเมินว่าเราจะมีเงินออมมากพอจะใช้ในวัยเกษียณหรือเปล่า เราก็มั่นใจอยู่ว่าคนฐานะดีอย่างเรายังไงก็ไม่มีปัญหาเรื่องการเงินตอนแก่แน่นอน แต่ผิดคาด!!! เพราะเมื่อคนเราแก่ตัวไปเรื่อย ๆ จะมีค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นตามมามากมาย ซึ่งคนไทยกว่า 95% ไม่มีการวางแผนการเงิน ทำให้มีเงินไม่มากพอที่จะใช้ในวัยเกษียณ
แต่มาที่นี่แล้วไม่ต้องกลัวว่าเราจะจนตอนแก่ เพราะเขาจะมีฮีโร่นักลงทุน 4 คน มาช่วยให้เราวางแผนการเงินไปสู้กับความจนผ่านการลงทุนรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเราชอบที่เขาสามารถอธิบายเรื่องการลงทุนให้ฟังดูเข้าใจง่าย ๆ และจะพาเราไปทดลองลงทุนกันแบบเสมือนจริง ใครชอบหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม หรืออนุพันธ์ ก็มีให้ทดลองหมด จะรวยหรือจะเจ๊งก็จะได้รู้กันไปเลย แต่เจ้าหน้าที่เขาบอกเคล็ดลับมาว่า ไม่ควรเอาเงินไปลงทุนในที่เดียวหมด ควรจะกระจายการลงทุนในหลาย ๆ ที่เพื่อกระจายความเสี่ยงจะปลอดภัยที่สุด
แม้การลงทุนจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ที่นี่เขามีวัตถุประสงค์ให้วัยรุ่นที่เริ่มมีรายได้อย่างเด็กมัธยมที่ทำงานพิเศษได้แล้ว มีแรงบันดาลใจในการลงทุน ส่วนเด็กเล็ก ๆ ที่ยังทำงานไม่ได้ ก็อาจจะเกิดแรงบันดาลใจเอาเงินค่าขนมมาหยอดกระปุกให้มากขึ้น ซึ่งเท่านี้ก็นับว่ามีประโยชน์มากแล้ว
พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุนตั้งอยู่ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บน ถนนรัชดาภิเษก เปิดให้เข้าชม วันอังคารถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.30- 19.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 100 บาท เด็กเข้าชมฟรี แต่ถ้าใช้บัตร Thailand Museum Pass เข้าชมได้ฟรี
Siam Gems Heritage
เด็กผู้หญิงหลาย ๆ ชอบของสวยงามอย่างเพชรวิบวับ ๆ บางคนคงมีความฝันอยากสวมมงกุฎเพชรเป็นนางสาวไทย งั้นเราพาเด็ก ๆ มาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องอัญมณีกับผู้รู้จริงกันดีกว่าที่พิพิธภัณฑ์อัญมณี Siam Gems Heritage ตรงถนนเรียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ที่นี่เป็นทั้งศูนย์การค้าเครื่องประดับอัญมณี และยังเป็นพิพิธภัณฑ์อัญมณีระดับโลกด้วย
การเดินทางมาที่นี่ขับรถหรือนั่งแท็กซี่มาจะสะดวกที่สุด ที่จอดรถกว้างขวาง อาคารใหญ่โต จอดรถเสร็จแล้วเดินเข้ามาตรงที่ซื้อตั๋ว ก็จะเจอกับคุณทับทิมกับพลายน้อย ช้างทองคำพ่อลูก 2 เชือก ที่ต้อนรับผู้มาเยือนอยู่ที่ห้องโถง อลังการกันตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเลยทีเดียว เพราะช้างทั้งสองเชือกหุ้มด้วยทองคำ 99.99% ไม่อยากคิดว่าจะคิดเป็นเงินเท่าไร ว่าแล้วก็อย่าลืมถ่ายรูปไปอวดเพื่อนกันรัวๆ
หลังจากซื้อตั๋วแล้วที่นี่เขาจะเปิดให้เข้าชมเป็นรอบ ๆ มีไกด์นำชมทุก ๆ 30 นาที เพื่อที่พวกเราจะได้ความรู้เกี่ยวกับอัญมณีกลับไปกันแบบครบถ้วน เรายืนถ่ายรูปกับคุณทับทิมกับพลายน้อยได้แปปเดียว ไกด์ก็พร้อมพาเราเข้าไปเที่ยวชมด้านใน ซึ่งจุดแรกคือโดมขนาดใหญ่ซึ่งฉายภาพยนตร์แบบ 360 องศา ความคมชัดระดับ 4K เล่าเรื่องราวต้นกำเนิดของอัญมณีจากพื้นพิภพ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าแร่ธาตุที่อยู่ใต้ผิวโลก จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเครื่องประดับล้ำค่าได้
ถัดมา ไกด์จะพาเราเยี่ยมชมห้องจัดแสดงอีก 5 ห้อง ที่ให้ความรู้และจัดแสดงเพชรพลอยนานาชนิด มีทั้งห้องที่จัดแสดงเครื่องประดับตั้งแต่ยุคหิน ซึ่งทำจากกระดูกสัตว์ มีห้องที่แสดงเครื่องมือช่าง ทำให้เราเห็นว่าการทำเครื่องประดับขึ้นมาสักชิ้น เป็นงานฝีมือที่ละเอียดอ่อนแค่ไหน แต่ห้องที่เราชอบที่สุดคือห้องมณีมงคล ซึ่งใช้ระบบ Multimedia ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ แสดงความหมายของอัญมณี 9 ชนิดที่หากใครมีครอบครองครบจะถือว่าเป็นมงคลสูงสุด คล้ายกับธานอสสะสม Infinity Stones ได้ครบทั้ง 5 เม็ดแล้วจะได้ครองจักรวาล
และไฮไลท์ของที่นี่คือการแสดงให้เห็นถึงความงดงามของมงกุฎทับทิมประดับเพชร สยามเจมส์เทียร่า ที่รังสรรค์ขึ้นมาโดยใช้เทคนิคการเจียระไนและการขึ้นตัวเรือนแบบพิเศษ เพื่อให้ทับทิมและเพชรทุกเม็ดส่องประกายงดงามที่สุดเมื่อกระทบแสง และเราก็เพิ่งรู้ว่า Siam Gems Heritage เขาเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนมงกุฎประจำตำแหน่งของ Miss Thailand World ด้วย รู้อย่างนี้แล้วอยากจะไปสมัครประกวดทันทีเลย เผื่อมงลงกับเขาบ้าง
กระซิบบอกนิดหนึ่ง สำหรับคนไทย ไกด์เขาจะเปิดห้องมณีวิทยา ซึ่งเป็นห้องแสดงกระบวนการผลิตเครื่องประดับอัญมณีให้ดูเป็นพิเศษ สำหรับคนไทยเท่านั้น เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์ต้องทำเวลาในการเข้าชมไม่ให้นานเกินไป แต่ถ้าเป็นคนไทยที่ไม่ได้รีบร้อน เขาก็จะเปิดห้องนี้ให้ชมเป็นพิเศษ
Siam Gems Heritage ตั้งอยู่ที่เส้นทางเรียบทางด่วน เอกมัย-รามอินทรา เลยซอยนวลจันทร์มานิดเดียว หาไม่ยาก เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 12:00 – 16:00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 200 บาท และเด็ก 100 บาท สามารถใช้บัตร Thailand Museum Pass เข้าชมได้ฟรี
พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี
ถ้ามีลูกชอบเล่นดินน้ำมัน ชอบปั้นนู่นปั้นนี่ แปลว่าเด็กชอบศิลปะ แต่แค่ชอบอาจไม่พอ เราต้องส่งเสริมให้ลูกต่อยอดเป็นอาชีพได้ ถ้าจะให้ลูกเกิดแรงบันดาลใจ ก็ต้องพาไปดูให้เห็นกับตาที่พิพิธภัณฑ์แห่งสุดท้ายที่เราจะพาไปเที่ยวกันคือ พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดี อยู่ที่จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ ‘ชามตราไก่’ ที่เราใช้กินข้าว กินก๋วยเตี๋ยวกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ และเป็นสินค้าเซรามิคขึ้นชื่อของลำปางที่ส่งขายไปทั่วโลก ภายในพิพิธภัณฑ์ได้รวบรวมเรื่องราวต้นกำเนิดของบริษัทในเครือธนบดี ต้นกำเนิดชามตราไก่ ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เด็ก ๆ ได้มาเยี่ยมชมแล้ว อาจจะได้แรงบันดาลใจอยากสืบทอดกิจการของครอบครัวให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นด้วย
การเข้าชมพิพิธภัณฑ์จะเปิดให้เข้าชมเป็นรอบ ๆ ทุก ๆ ต้นชั่วโมง เว้นแค่ตอนพักเที่ยง หากใครไปถึงก่อน ก็สามารถถ่ายรูปที่ชามตราไก่ขนาดยักษ์หรือโชว์ฝีมือเพนท์ลวดลายบนชามระหว่างรอได้ เมื่อถึงเวลาจะมีไกด์พาชมด้านใน เริ่มต้นด้วยการบอกเล่าประวัติของผู้ก่อตั้งที่อพยพหนีความยากจนมาจากเมืองจีน และพบดินขาวคุณภาพดีในจังหวัดลำปาง จึงได้เริ่มก่อตั้งโรงงานผลิตชามเซรามิคขึ้นกลายเป็นที่มาของชามตราไก่
ด้านในมีการสาธิตขั้นตอนการผลิตชามเซรามิคทั้งแบบโบราณและกระบวนการสมัยใหม่ให้ได้ชมกันอย่างใกล้ชิด และมีงานเซรามิคที่น่าทึ่งให้ได้ชมหลายชิ้น เช่น ชามตราไก่ที่เล็กที่สุดในโลก เล็กกว่าเมล็ดข้าวเปลือกอีก ซึ่งแม้จะใช้กินข้าวไม่ได้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าที่นี่เขามีความรู้ ความสามารถที่จะทำชามได้ทุกไซส์ ทุกขนาด แล้วก็มีชามที่บางที่สุดในโลก หนาแค่ 0.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ต้องระวังชามแตกกันหน่อย เครื่องดนตรีเขาก็ทำได้นะ มีขลุ่ยที่ทำจากเซรามิคเลาแรกของโลกในพิพิธภัณฑ์ให้ดูด้วย
แล้วยังมีกิจกรรมให้ผู้เยี่ยมชมได้ทดลองวาดลวดลายลงบนชามเซรามิค ซึ่งเด็ก ๆ ชอบกันมาก เพราะได้ปล่อยจินตนาการวาดลวดลายที่ตัวเองชื่นชอบ ก่อนกลับเจ้าหน้าที่เขาบอกด้วยว่าที่ลวดลายบนชามตราไก่ทุกใบเป็นรูปไก่กำลังวิ่ง เพราะเขาต้องการแสดงให้เห็นถึงความขยันขันแข็งเหมือนไก่ที่ออกไปหาอาหารแต่เช้าทุกวัน
พิพิธภัณฑ์เซรามิคธนบดีตั้งอยู่ที่ ต.พระบาท อ.เมืองลำปาง เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-17.00 น. ค่าเช้าชมผู้ใหญ่คนละ 60 บาท นักเรียน นักศึกษา 30 บาท ใช้บัตร Thailand Museum Pass เข้าชมได้ฟรี ใครไปเที่ยวลำปาง ไม่ควรพลาดนะ
###