The Balvenie (เดอะ บัลเวนี) เปิดตัว The Makers Project ในความร่วมมือกับ ยูน ปัณพัท เพื่อเปิดโลกแห่งคุณค่าและถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ยุคใหม่

อุปโภค บริโภค

การร่วมมือในครั้งนี้ได้นำเสนอชุดของขวัญลิมิเต็ด อิดิชั่น เพื่อเฉลิมฉลองการค้นหาสุดยอดงานฝีมือ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย - เดอะ บัลเวนี เปิดตัว The Makers Project ซึ่งเป็นความร่วมมือกับศิลปินชาวไทยผู้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกอย่าง ยูน-ปัณพัท เตชเมธากุล ที่ได้เปิดโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์ยุคใหม่แต่ยังพิถีพิถันในรายละเอียดและขั้นตอน แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเมคเกอร์ในการทำงานของพวกเขา พร้อมทั้งนำเสนอองค์ประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ที่ยกระดับ “ความยอดเยี่ยม ไปสู่ ความพิเศษ” เพื่อพิสูจน์แรงบันดาลใจที่เหมือนกันและความเคารพต่องานฝีมือชั้นยอด เดอะ บัลเวนี และ ยูน ปัณพัท ได้ร่วมมือกันนำเสนอชิ้นงานศิลปะภายใต้ชื่อ “Love & Time” ซึ่งได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างชุดของขวัญลิมิเต็ด อิดิชั่น

ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้รับจากวรรณคดีไทยเรื่อง “พระอภัยมณี” งานออกแบบของ ยูน ปัณพัท ได้เล่าถึงการออกผจญภัยเหนือสุดขอบโลกเพื่อแสวงหา “สิ่งพิเศษ” เธอใช้ลายเส้นรูปสัตว์และดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์เพื่อเล่าถึงการเดินทางที่เปรียบได้กับกระบวนการการสร้างสรรค์ของ เดอะ บัลเวนี ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้มาจากการไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งสุดยอดงานฝีมือเท่านั้น

“สำหรับเดอะ บัลเวนี เรามุ่งมั่นที่จะร่วมงานอย่างต่อเนื่องกับผู้คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและแพชชันที่จะสร้างสรรค์ผลงานสุดพิเศษ โดย ยูน-ปัณพัท ศิลปินจากไทยก็เป็นหนึ่งในข้อพิสูจน์นี้ ในบรรดาเหล่าเมคเกอร์ของเราเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่ผ่านกระบวนการคิด และเป็นศิลปินที่มีความสุดยอดด้านฝีมือในแบบของพวกเขา เฉกเช่นเดียวกันกับช่างฝีมือที่โรงกลั่นวิสกี้ของเรา ที่พวกเขามีเรื่องราวพิเศษเฉพาะตัวที่ถ่ายทอดออกมา ฉันตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้เห็นเรื่องราวเหล่านี้ถูกแสดงออกมาผ่านชุดของขวัญสุดพิเศษโดยจะวางจำหน่ายไปทั่วภูมิภาค” Brett Bayly แบรนด์แอมบาสเดอร์ เดอะบัลเวนี ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว

การร่วมมือกันของยูน ปัณพัท และ เดอะ บัลเวนี ได้แสดงให้เห็นถึงแพชชันที่เหมือนกันในกระบวนการสร้างสรรค์ การใช้เวลาและการทุ่มเทเพื่อสร้างผลงานสุดพิเศษ เธอได้ยกระดับความสามารถของเธอในการสร้างสรรค์งานที่แปลกใหม่โดยการนำเสนอแพชชัน ตัวตน และหัวใจในผลงานของเธอ โดยยังผสมผสานคุณค่าที่แท้จริงในการสร้างสรรค์ของ เดอะ บัลเวนี อีกด้วย

ยูน ปัณพัท กล่าวเสริมว่า “ยูนรู้สึกดีใจที่ได้ร่วมงานกับเดอะ บัลเวนีในครั้งนี้ และมีความภูมิใจที่จะนำเสนอความเป็นไทยลงไปในผลงาน รวมไปถึงภูมิหลังและบ้านเกิดของตัวเอง เมื่อนึกถึงเดอะ บัลเวนี ทำให้ยูนนึกถึงกระบวนการผลิตคราฟต์วิสกี้และความพิถีพิถันในการรังสรรค์รสชาติผ่าน "กาลเวลา" ให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นบทกวีชิ้นเอกที่บอกเล่าเรื่องราวเหนือจินตนาการ”

ชุดของขวัญแต่ละชุดได้แรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะ “Love & Time” ประกอบไปด้วยแก้ววิสกี้และจานรองแก้วเซเรมิคออกแบบโดยศิลปิน พร้อมทั้งวิสกี้ เดอะ บัลเวนี ที่ผ่านการรังสรรค์ด้วยมือ สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่องานฝีมืออันทรงคุณค่าผ่านกาลเวลา เพื่อมอบเป็นของขวัญที่มีความหมายและสื่อถึงความใส่ใจได้เป็นอย่างดี พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของในเวลาจำกัดเท่านั้น มีสองชุดให้เลือกซื้อ ได้แก่ เดอะ บัลเวนี ดับเบิ้ล วู้ด 12 ปี และ เดอะ บัลเวนี แคริบเบียน คาสค์ 14 ปี

พร้อมวางจำหน่ายที่ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต อิตาเลเซีย โชว์รูม และออนไลน์สโตร์ได้แก่ Gulp BKK

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดตามอินสตาแกรม @MadeByHeart.th hashtags: #TheBalvenie #MadeByHeart #TheMakersProject

เกี่ยวกับ เดอะ บัลเวนี

ตั้งอยู่ในเมืองดัฟฟ์ทาวน์ (Dufftown) อันสวยงาม ในเขตผลิตวิสกี้สเปย์ไซด์ (Speyside) โรงกลั่น เดอะ บัลเวนี ได้ผลิตวิสกี้ด้วยมือมาเป็นเวลามากว่า 125 ปี และมีชื่อเสียงว่าเป็นซิงเกิลมอลต์วิสกี้ที่ผ่านการสร้างสรรค์ด้วยมือมากที่สุด โรงกลั่นแห่งที่เป็นแห่งสุดท้ายที่ยังปลูกข้าวบาร์เลย์ด้วยตนเอง ใช้กรรมวิธีการทำมอลต์แบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา และยังมีทีมงานดูแลถังบ่มพร้อมทั้งช่างทองแดงที่คอยดูแลเครื่องกลั่น

ทีมงานที่มีความมุ่งมั่นในสุดยอดงานฝีมือได้อุทิศจิตวิญญาณและความหลงใหลลงในวิสกี้ทุกขวด การสร้างสรรค์ผลงานอันยอดเยี่ยมอาจต้องการเพียงแค่ทักษะ แต่มีเพียงจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้นที่จะสร้างสรรค์ผลงานอันสุดพิเศษได้ และแน่นอนว่า มอลต์มาสเตอร์ David C. Stewart MBE ได้ดูแลกระบวนการบ่มวิสกี้ที่สำคัญในทุกขั้นตอน

เดอะ บัลเวนี ซิงเกิลมอลต์มอลวิสกี้ ผลิตโดยบริษัท William Grant & Sons ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย William Grant ในปี ค.ศ. 1892 โรงกลั่นของครอบครัวแห่งนี้ได้รับรางวัลมากมาย โดยยังบริหารงานโดยทายาทของ William Grant ในปัจจุบัน ผลงานทุกรุ่นต่างมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มีความเข้มข้น นุ่มนวลหรูหรา และเสริมด้วยกลิ่นน้ำผึ้งอันเป็นเอกลักษณ์ของ เดอะ บัลเวนี

เกี่ยวกับ ยูน-ปัณพัท เตชเมธากุล

ปัณพัท เตชเมธากุล เป็นศิลปินภาพวาดอิลลัสเตรทชาวไทยที่เล่าเรื่องราวของเธอผ่านตัวละครสัตว์และดอกไม้นานาชนิด ผลงานของเธอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเธอ โดยใช้บุคลิกต่าง ๆ ของสัตว์เพื่อสื่อถึงความรู้สึกของเธอในช่วงเวลาต่าง ๆ ปัณพัท มักได้แรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัว เธอเติบโตมาในครอบครัวไทยเชื้อสายจีน และเธอได้สอดแทรกความรักต่อวัฒนธรรมของตนเองในผลงานของเธอ

เกี่ยวกับ The Makers Project

The Makers Project เปิดโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์ยุคใหม่ในศิลปะแขนงต่าง ๆ พร้อมทั้งเฉลิมฉลองให้กับคุณค่าที่แท้จริงและการสร้างสรรค์ และนำเสนอองค์ประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ที่ยกระดับ “ความยอดเยี่ยม ไปสู่ ความพิเศษ” โครงการนี้มุ่งนำเสนอเอกลักษณ์ของเมคเกอร์ที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี และนำทุกคนมาพบกับผลงานที่กลั่นมาจากความตั้งใจ และแพชชันในการทำงานของพวกเขา

ความร่วมมือกับเมคเกอร์ทุกคนนั้นเกิดจากแพชชันที่เรามีเหมือนกันในกระบวนการสร้างสรรค์ การใช้เวลา และการทุ่มเทเพื่อสร้างสิ่งพิเศษ เหล่าเมคเกอร์ได้ยกระดับความสามารถของพวกเขาในการสร้างสรรค์งานที่แปลกใหม่โดยการนำเสนอแพชชัน ตัวตน และเรื่องราวในผลงาน

เกี่ยวกับ วิสกี้ เดอะ บัลเวนี

เดอะ บัลเวนี ดับเบิ้ล วู้ด 12 ปี

เดอะ บัลเวนี ดับเบิ้ล วู้ด 12 ปี บ่มขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1993 ผ่านกรรมวิธีที่คิดค้นโดย มอลต์มาสเตอร์ David Stewart ในปี ค.ศ. 1982 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “การบ่มกลิ่นด้วยไม้”

ในการผลิต เดอะ บัลเวนี ดับเบิ้ล วู้ด David Stewart MBE ได้นำวิสกี้ที่ถูกบ่มเป็นเวลาอย่างน้อย 12 ปี ในถังไม้โอ๊คอเมริกันแบบดั้งเดิมที่ผ่านการบ่มเบอร์เบิ้น (Bourbon) มาแล้ว ย้ายมาบ่มในถังไม้โอโลโรโซจากประเทศสเปน (Oloroso Sherry) โดยบ่มเพิ่มเป็นเวลาอีก 9 เดือน ต่อมา ได้ย้ายวิสกี้มาเก็บไว้ในถังไม้โอ๊คขนาดใหญ่ที่เราเรียกว่า Tuns เป็นเวลา 3-4 เดือน

เพื่อให้วิสกี้ในแต่ละถังได้ผ่านการบ่มแบบแมรี่ “marry” ซึ่งเปรียบเสมือนการแต่งงานของวิสกี้จากถัง2แบบมาผสมกันอย่างลงตัว เดอะ บัลเวนี ดับเบิ้ล วู้ด ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นจากการบ่มในไม้สองชนิด จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘ดับเบิ้ล วู้ด’ โดยการบ่มแต่ละครั้งต่างมอบคุณค่าที่แตกต่างกันให้กับตัวซิลเกิลมอลต์วิสกี้ การบ่มในถังดั้งเดิมมอบความนุ่มนวลและความละเอียดอ่อน ถังไม้โอโลโรโซช่วยเพิ่มรสชาติและความลึกล้ำ และการบ่มครั้งสุดท้ายใน Tuns เป็นเวลาไม่กี่เดือนช่วยให้ตัววิสกี้ได้แมรี่ “marry” ได้อย่างกลมกลืน

กลิ่น: ผลไม้บางๆ เสริมด้วยกลิ่นหอมของน้ำผึ้งและวานิลลา

รสชาติ: นุ่มนวลและกลมกล่อมไปด้วย ความหวานของถั่ว ความเผ็ดร้อนที่ลงตัวจากอบเชยและถังไม้โอโลโรโซแชร์รี่

รสชาติหลังดื่ม: นุ่มละมุนและมีกลิ่นหอมอบอวล

เดอะ บัลเวนี แคริบเบียน คาสค์ 14 ปี

เดอะ บัลเวนี แคริบเบียน คาสค์ 14 ปี ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ ผ่านการบ่มในถังไม้โอ๊คแบบดั้งเดิมเป็นเวลา 14 ปี และจบการบ่มในถังที่ผ่านการบ่ม แคริบเบียน รัม มาก่อน ในการสร้างสรรค์การบ่มที่ต้องการ มอลต์มาสเตอร์ David C. Stewart MBE ได้เติม เวสต์ อินเดียน รัม ที่เขาบ่มเองลงไปในถังไม้โอ๊คอเมริกัน เมื่อเขาเห็นว่าถังบ่มพร้อมแล้ว เขาได้สลับนำวิสกี้ที่ผ่านการบ่นเป็นเวลา 14 ปี มาบ่มในถังรัมที่เหมาะสมแทน โดยใช้ไม้เป็นตัวช่วยในการบ่มครั้งสุดท้ายนี้ ผลที่ได้คือซิงเกิลมอลต์วิสกี้ชั้นเลิศที่นุ่มนวลแบบดั้งเดิมผสมผสานกลิ่นน้ำผึ้งอันเป็นเอกลักษณ์ของ เดอะ บัลเวนี กับกลิ่นทอฟฟี่ และกลิ่นผลไม้เล็กน้อย โดยมีรสชาติคงค้างที่อบอุ่นและยาวนาน

กลิ่น: เข้มข้น หอมหวาน และมีกลิ่นทอฟฟี่ครีมผสมผสานกับกลิ่นของผลไม้สด

รสชาติ: กลมกล่อมด้วยกลิ่นของวานิลลาและความหวานของถังโอ๊ค เสริมด้วยรสชาติของผลไม้ที่เข้มข้นพัฒนาตามกาลเวลา

รสชาติหลังดื่ม: นุ่มนวลและยาวนาน

  • ผู้โพสต์ :
    Hotnews
  • อัพเดทเมื่อ :
    8 ส.ค. 2022 15:08:52

ลงข่าวประชาสัมพันธ์ ฟรี คลิกที่นี่

 

X

เว็บไซต์เรามีการใช้คุกกี้ คลิกเพื่อดู นโยบายคุกกี้ และ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา