ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกกำลังได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ทั้งการเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลาง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และการขาดแคลนทรัพยากร โดยในปี ค.ศ. 2020 ประเมินว่ามีชาวเอเชียราว 2 พันล้านคนถูกจัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นกลาง ซึ่งคาดว่า จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 พันล้านคนภายในปี ค.ศ. 2030 ประกอบกับมาตรฐานความเป็นอยู่ที่สูงขึ้น และประชากรกลุ่มผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีอัตราการบริโภคเพิ่มมากขึ้นด้วย ในขณะเดียวกัน การรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกและการขาดแคลนทรัพยากรก็ถือเป็น
เรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนอิสระที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ ในธรรมชาติ ซึ่งเร่งให้ตัวขับเคลื่อนอื่น ๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่วนปัญหาเรื่องการขาดแคลนทรัพยากร ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาทำให้เราเห็นถึงสองแรงกดดันสำคัญ ทั้งจากประชากรที่เพิ่มมากขึ้น และระบบเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต ซึ่งทำให้ความต้องการด้านต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้นทั้งในเรื่องพลังงาน อาหาร และวัสดุต่าง ๆ รวมถึงทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตสิ่งเหล่านี้ด้วย ซึ่งทำให้โซลูชั่นเพื่อยกระดับประสิทธิภาพ และสร้างทางเลือกอื่น ๆ ทดแทนทรัพยากรที่ขาดแคลน กลายเป็นสิ่งจำเป็นมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เมื่อรวมตัวกัน ได้ผลักดันให้ผู้บริโภคหันไปหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น และความต้องการต่อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคต่างเริ่มพิจารณามากขึ้น ถึงความพยายามด้านความยั่งยืนของแบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องขยะจากบรรจุภัณฑ์ โดยผู้บริโภค 77% มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการซื้อสินค้าของพวกเขา และ 64% ยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าที่ยั่งยืนอีกทั้งผู้บริโภคยังยินดีจ่ายเงินเพิ่ม สำหรับสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ดังนั้น เจ้าของแบรนด์ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมาย ทั้งในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการใช้พลังงานหมุนเวียน รวมถึงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนให้มากขึ้น และเนื่องจากฉลากสินค้าถือเป็นส่วนหนึ่งของบรรจุภัณฑ์ เป็นสิ่งที่เราต้องพบเห็นและใช้งานอยู่เป็นประจำ ฉลากสินค้าจึงอาจเป็นสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน ผ่านการพัฒนาทางเลือกฉลากสินค้าที่เหมาะสมเพื่อให้เราสามารถสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ไปพร้อมกับการให้ข้อมูลเรื่องความยั่งยืนของสินค้านั้น และส่งเสริมแนวคิดความยั่งยืน โดยไม่ต้องลดทอนคุณภาพของบรรจุภัณฑ์เลยแม้แต่น้อย
ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่างจำกัด ทำให้เราต้องฉลาดในการใช้วัสดุต่าง ๆ ที่ยูพีเอ็ม ราฟลาแทค เรายึดมั่นในแนวทางการพัฒนาฉลากสินค้าที่ยั่งยืน ตามสโลแกนที่ว่า labeling a smarter future beyond fossils
โซลูชันสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาจากยูพีเอ็ม ราฟลาแทค จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และเจ้าของแบรนด์ต่าง ๆ เปลี่ยนมาใช้วัสดุทางเลือก ที่มีความยั่งยืนมากขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในทางเลือกที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ก็คือโซลูชั่นฟิล์มชนิดบาง (Lite film labelling solutions) ซึ่งเป็นทางเลือกที่ง่ายและได้ผลอย่างมาก ในการสนับสนุนแบรนด์ ให้มุ่งสู่เป้าหมายด้าน ความยั่งยืน จากการช่วยลดปริมาณและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โซลูชันฟิล์มชนิดบาง มีข้อดีมากมาย ทั้งในด้านความยั่งยืน ประสิทธิภาพด้านการผลิต และประสิทธิภาพด้านต้นทุน โดยไม่ลดทอนในคุณภาพของสินค้า โซลูชันฟิล์มชนิดบางนี้ สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon footprint) จากออกแบบเพื่อให้ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุด โดยการเลือกใช้วัสดุที่บางลง แต่ยังคงคุณภาพไว้ ทั้งประสิทธิภาพในการใช้งาน และประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อเทียบกับฟิล์มรุ่นปกติที่หนากว่า เนื่องจากใช้วัตถุดิบฟอสซิลและพลังงานในการผลิตที่น้อยกว่า โซลูชันฟิล์มชนิดบางยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดระยะเวลาในการสั่งและรอสินค้า จากการลดความถี่และระยะเวลาในการหยุดเครื่องเพื่อเปลี่ยนม้วนระหว่างการผลิตก็ทำให้ผลิตสินค้าได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนเพราะช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างในห้องเก็บของเพื่อใช้ในการเก็บวัสดุอื่น ๆ และสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้ว ทั้งยังลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์และการขนส่งได้ จากการใช้ฟิล์มฉลากสินค้าที่บางลง จึงได้ม้วนที่ยาวขึ้น นอกเหนือจากนั้น ฉลากอาหารในโซลูชันฟิล์มชนิดบางของยูพีเอ็ม ราฟลาแทค ยังสอดคล้องตามข้อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารอีกด้วย
นวัตกรรมใหม่นี้สามารถนำไปใช้งานกับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย หนึ่งในตัวอย่างคือ PE 65 ฟิล์มชนิดที่มีความยืดหยุ่นสูง รุ่นที่บางที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ฟิล์ม PE สำหรับทำฉลากสินค้าของยูพีเอ็ม ราฟลาแทค โดยฟิล์มที่บางกว่ารุ่นมาตรฐาน PE 85 นี้ มีความยืดหยุ่นตัวสูง และต้านทานน้ำ น้ำมัน และสารเคมีได้ดี ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์ หรือหลอดที่มีการบีบใช้งาน ในกลุ่มสินค้า สำหรับของใช้ภายในบ้านหรือของใช้ส่วนบุคคลก็ได้เช่นกัน
อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ฟิล์มชนิดบางคือ Raflex Pro ที่รวมเอาคุณสมบัติการใช้งานที่ดีเยี่ยมของฟิล์ม PE และ PP ไว้ด้วยกัน เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการทั้งความยืดหยุ่น และรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจบนชั้นวางสินค้า Raflex Pro มีคุณสมบัติด้านความยืดหยุ่นเช่นเดียวกับฟิล์ม PE เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่มีความโค้งมน และบรรจุภัณฑ์ที่มีการบีบใช้งาน โดยยังมีความใสมากเหมือนกับฟิล์ม PP ซึ่ง Raflex Pro ยังมีความบางมากเป็นพิเศษ จึงช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้ เพราะมีจำนวนฉลากต่อม้วนเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถช่วยลดระยะเวลาหยุดเครื่องระหว่างการผลิตเพื่อเปลี่ยนม้วนฟิล์ม โดยเพิ่มกำไรให้กับกระบวนการผลิตฉลาก และขั้นตอนการติดฉลาก รวมทั้งลดภาระด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก
กลุ่มผลิตภัณฑ์ PE Lite ถือเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน ที่จะช่วยให้ผู้ผลิตฉลาก สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของแบรนด์สินค้าที่ต้องการวัสดุที่ยั่งยืนได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อเลือกใช้ฟิล์ม PE Lite ที่มีความบางกว่าฟิล์ม PE แบบเดิม เจ้าของแบรนด์สินค้าก็สามารถเป็นผู้นำ ด้านฉลากสินค้าที่ยั่งยืนได้ โดยช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ไปพร้อมกับเพิ่มกำลังการผลิต
เมื่อนำมาใช้งานร่วมกับกาว RP37 และกระดาษรองหลังที่ได้มาตรฐาน FSCTM (FSC-C012530) จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้ สำหรับการบรรจุอาหาร ของใช้ภายในบ้าน และของใช้ส่วนบุคคล โดยฟิล์ม PE Lite ของยูพีเอ็ม ราฟลาแทคจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ พร้อมตอบสนองอุปสงค์ของตลาดที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในเรื่องการลดการใช้ทรัพยากร
อีกหนึ่งตัวอย่างคือผลิตภัณฑ์ PP Food ของยูพีเอ็ม ราฟลาแทค ที่ช่วยให้การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ฉลาก ที่ปลอดภัยและยั่งยืนได้ง่ายขึ้น ด้วยการเคลือบผิววัสดุเกรดสำหรับอาหาร จึงสามารถใช้งานได้อย่าง สอดคล้องตามมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร มีประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้ในการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งยังช่วยลดความจำเป็นด้านคลังเก็บสินค้าและทำให้กระบวนการพิมพ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีโซลูชันฟิล์มชนิดบางที่มีประสิทธิภาพสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ อีก เช่น Polyprint lite ซึ่งใช้ร่วมกับกาว RH9S โดยพื้นผิวของ Polyprint lite มีลักษณะมันเงาและรองรับการพิมพ์ด้วยเครื่องอิงค์เจ็ต ได้อย่างดีเยี่ยม มีความเสถียร มีขนาดคงที่ และรูปลักษณ์ที่สวยงาม พร้อมคุณสมบัติความทนทานเป็นเลิศ และต้านทานทั้งความชื้น น้ำ ไขหรือน้ำมัน ซึ่งทำให้ฟิล์มชนิดนี้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร
การเปลี่ยนวัสดุจากชนิดหนึ่งมาเป็นอีกชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะจากชนิดหนามาเป็นชนิดบาง อาจพบปัญหาได้ สำหรับโรงพิมพ์ และเจ้าของแบรนด์ แต่โซลูชั่นฟิล์มชนิดบางของยูพีเอ็ม ราฟลาแทค มีประสิทธิภาพ การใช้งานที่เชื่อถือได้ในหลากหลายการใช้งาน ช่วยสร้างความยั่งยืนไปพร้อมกับรักษามาตรฐานคุณภาพระดับสูงของแบรนด์เอาไว้ ด้วยการทำให้ทุกขั้นตอนในวงจรการผลิตมีความยั่งยืน ทำให้ยูพีเอ็ม ราฟลาแทคสามารถนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไปพร้อมกัน
ยูพีเอ็ม ราฟลาแทค จึงขอเชิญชวนผู้ผลิตฉลากสินค้า เจ้าของแบรนด์ ซัพพลายเออร์วัตถุดิบ และผู้มีอิทธิพล ทางความคิดต่าง ๆ ร่วมมือกัน เพื่อเปลี่ยนนวัตกรรมให้กลายเป็นโซลูชันชั้นเยี่ยม และเพิ่มโอกาสการแข่งขัน เราจะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ยอดเยี่ยมได้ก็ด้วยความร่วมมือกันเท่านั้น และการผนึก กำลังของเหล่าพันธมิตรผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความมุ่งมั่นคือแนวทางเดียวที่เราจะสามารถนำพาโลกของเราไปสู่ future beyond fossil ได้
สอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
Angella Lau, SEA product manager, Film & Special SBU, UPM Raflatac
Email: angella.lau@upmraflatac.com
เกี่ยวกับ ยูพีเอ็ม ราฟลาแทค
ยูพีเอ็ม ราฟลาแทค ผู้นำทางด้านการผลิตฉลากสินค้าแนวใหม่ที่ยั่งยืน ผ่านสินค้านวัตกรรมและบริการต่าง ๆ เรานำเสนอฉลากกระดาษและฟิล์มคุณภาพสูงเพื่อการสร้างแบรนด์และส่งเสริมการขาย รวมถึงฉลากสินค้ากำกับข้อมูล และฉลากที่มีฟังกชันการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ เราสร้างเครือข่ายระดับโลกที่ครอบคลุมด้วยโรงงาน ศูนย์กระจายสินค้า และสำนักงานขาย บริษัทฯ ของเรามีพนักงานราว 3,000 คน และสามารถสร้างยอดขายได้ว่า 1.7 พันล้านยูโร (ราว 1.9 พันล้านดอลลาร์) ในปี 2564 โดย ยูพีเอ็ม ราฟลาแทค เป็นส่วนหนึ่งของเครือยูพีเอ็ม
สามารถศึกษาแนวทางการสร้างสรรค์ฉลากสินค้าของคุณ ไปกับ UPM Raflatac ‘labeling a smarter future beyond fossils’ ได้แล้ววันนี้ ที่ www.upmraflatac.com
ติดตาม ยูพีเอ็ม ราฟลาแทค ได้ที่ Twitter | LinkedIn | Facebook | YouTube | Instagram
เกี่ยวกับ ยูพีเอ็ม
เรานำเสนอ Circular Economy และการแสดงความรับผิดชอบ และสร้างนวัตกรรม Beyond Fossil ในธุรกิจหกด้าน ประกอบด้วย ยูพีเอ็ม ไฟเบอร์, ยูพีเอ็ม ราฟลาแทค, ยูพีเอ็ม สเปเชียลตี้ เปเปอร์, ยูพีเอ็ม คอมมิวนิเคชัน เปเปอร์, และ ยูพีเอ็ม พลายวูด เรามุ่งมั่นทำตามโครงการ Business Ambition for 1.5°C ขององค์การสหประชาชาติ และทำตามเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์เพื่อลดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เรามีพนักงานราว 17,000 คนทั่วโลก และสามารถสร้างยอดขายได้ราว 9.8 พันล้านยูโรต่อปี โดย ยูพีเอ็มเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq Helsinki สามารถศึกษาเกี่ยวกับความมุ่งมั่น UPM Biofore – Beyond Fossils ของเราได้ที่ www.upm.com
ติดตามยูพีเอ็มได้ที่ Twitter | LinkedIn | Facebook | YouTube | Instagram #UPM #biofore #beyondfossils