นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จำนวน 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2561 - วันที่ 30 มิถุนายน 2562 รวมมูลค่าประมาณกว่า 503 ล้านบาท โดยจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยในวันที่ 18 กรกฎาคม 2562 นี้ ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) ในอัตรา 0.4000 บาทต่อหน่วย โดยได้มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 ไปแล้วในอัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ในอัตรา 0.3000 บาทต่อหน่วย ซึ่งการจ่ายปันผลครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 18 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 4.3600 บาทต่อหน่วย โดยกองทุนนี้จะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มั่นคงและมีแนวโน้มเจริญเติบโตสูง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม
นอกจากนี้ยังมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) ในอัตรา 0.3600 บาทต่อหน่วย ซึ่งที่ผ่านมามีได้มีการจ่ายผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 ไปแล้วในอัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ในอัตรา 0.2600 บาทต่อหน่วย ซึ่งการจ่ายปันผลครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 23 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 5.2350 บาทต่อหน่วย โดยกองทุนนี้เน้นลงทุนหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายปันผลอยางสม่ำเสมอ เฉลี่ยในปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 และไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม
และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ (SCBLT4) ในอัตรา 0.2000 บาทต่อหน่วย โดยได้มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 ไปแล้วในอัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ในอัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย ซึ่งการจ่ายปันผลครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 15 รวมเป็นเงินปันผลจำนวน 3.1200 บาทต่อหน่วย มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มั่นคง มีแนวโน้มเจริญเติบโตสูงไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม และมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศไม่เกินกว่าร้อยละ 35 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม
ด้านผลการดำเนินงานของทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน กองทุน SCBLTT มีผลตอบแทนอยู่ที่ 13.55% กองทุน SCBLT1 มีผลตอบแทนอยู่ที่ 10.11% และ กองทุน SCBLT4 มีผลตอบแทนอยู่ที่ 12.94% (ข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.ค.62)
ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์มองว่าในช่วงที่เหลือของปี 2562 นี้ นักลงทุนยังควรลงทุนในกองทุนรวม LTF เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีซึ่งสามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีและไม่เกิน 500,000 บาท โดยแนะนำให้มีการกระจายการลงทุนอย่างต่อเนื่องไม่ควรลงทุนโดยใช้เงินทุนครั้งเดียวในภาวะตลาดที่มีความผันผวนเช่นปัจจุบัน และหากสิ้นปี 2562 นี้ กรมสรรพากรไม่ต่ออายุสิทธิลดหย่อนภาษีในการซื้อกองทุนรวม LTF กองทุนยังคงมีสถานะตามกฎหมาย โดยอาจถูกแปลงสภาพเป็นกองทุนเปิด ซึ่งสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ผู้ลงทุนยังสามารถลงทุนเพิ่มได้ แต่เงินใหม่ที่เข้ามาจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปี สำหรับผู้ที่ลงทุนก่อนปี 2562 ก็ยังคงถือครองตามเงื่อนไขเดิม คือ 7 ปีปฏิทินเพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ภาษี
“ถึงแม้ว่าไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาในกองทุนรวม LTF แต่มูลค่าสินทรัพย์หรือราคาต่อหน่วย จะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับขนาดกองทุน เนื่องจากหน่วยกองทุนรวม LTF จะแตกต่างจากราคาของหุ้นที่สามารถเพิ่มหรือลดได้จากจำนวนหุ้นที่เพิ่มลด (Dilution effect) แต่ราคาต่อหน่วยจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุน” นายณรงศักดิ์ กล่าว