นางสาวอรลดา เผ่าวิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ (รักษาการ) บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TSI Insurance เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดประชุมเพื่อให้ข้อมูลข่าวสารกับนักลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้อง (Public Presentation) ถึงแนวทางการแก้ไขส่วนของ ผู้ถือหุ้นให้กลับมาอยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 50 ของทุนชำระแล้วตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยขณะนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินการตามขั้นตอนภายหลังมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 12/2562 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 และมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2562 ที่อนุมัติการลดทุนจดทะเบียน พร้อมกับลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) จากมูลค่าหุ้นละ 1.00 บาท เป็น หุ้นละ 0.50 บาท และอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียน เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความมั่นคงและศักยภาพในการแข่งขันของบริษัททั้งในด้านการดำเนินงานและด้านเงินทุน
“ปัจจุบัน การดำเนินการต่างๆยังเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด นับจากวันที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ทำรายการดังกล่าวแล้ว โดยหลังจากขั้นตอนการลดทุน ลดพาร์ และขอจดทะเบียนเพิ่มทุนแล้วเสร็จ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณากำหนดราคาหุ้นเพิ่มทุน กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิจองหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น และจัดสรรหุ้น พร้อมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนเพิ่มทุนและกำหนดราคาเรียกชำระหุ้นเพิ่มทุนต่อไป โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2562” นางสาวอรลดากล่าวพร้อมเพิ่มเติมว่า
ตามแผนงานปีนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าพัฒนาและปรับปรุงองค์กรอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ Core Insurance ให้เสร็จสมบูรณ์ประมาณกลางปีหน้า ซึ่งจะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัทฯ มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรองรับการเข้าสู่ Digital Transformation อย่างเต็มรูปแบบ และเพื่อรองรับการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ระบบการรายงานข้อมูลต่างๆ เพื่อความสะดวกรวดเร็วและฉับไวต่อการนำข้อมูลพื้นฐานไปใช้พัฒนาต่อยอดกลยุทธ์ในด้านอื่น
“เรายังมุ่งเน้นการพัฒนาด้านบุคลากรเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพการบริการ และการบริหารจัดการความเสี่ยง รวมทั้งการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดและส่งเสริมธุรกิจด้านการขายผลิตภัณฑ์และการบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนและเพื่อเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นในอนาคต" นางสาวอรลดากล่าว