ในขณะที่โลกธุรกิจถูกหมุนเหวี่ยงด้วยกระแสของเทคโนโลยีที่ก้าวนำมนุษย์ไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการนำเอา Artificial Intelligence (AI) มาใช้งานเชิงธุรกิจ การใช้ Big Data และ Machine Learning เหล่านี้ล้วนแต่เข้ามาช่วยการทำงานของมนุษย์ จนทำให้ในช่วงปีที่ผ่านมา หลายองค์กรต่างรับมือและปรับตัวโดยหันมาใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยในการทำงานมากขึ้น
โจทย์ขององค์กร ไม่ใช่แค่เรื่องของการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยใช้งาน แต่ยังเป็นการจัดการเทคโนโลยีให้เข้ากับองค์กรได้อย่างเหมาะสม เพื่อช่วยธุรกิจเอนเทอร์ไพรส์ให้ก้าวผ่านเทคโนโลยีดิสรัปชันไปได้ บริษัท ไอแอม คอนซัลติ้ง จำกัด ที่ปรึกษา และผู้พัฒนาระบบเอนเทอร์ไพรส์ไอที พร้อมนำแนวคิดการปรับตัว และไอทีโซลูชันส์มาช่วยองค์กรได้เสริมทัพรับปี 2019 เพื่อผลักดันให้ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในทุกอุตสาหกรรม
นายกริช วิโรจน์สายลี รองประธานกรรมการ (ประเทศไทย) บริษัท ไอแอม คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันองค์กรที่สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเท่านั้นจึงจะเป็นผู้นำอุตสาหกรรมได้ จากประสบการณ์การให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการงานไอทีแก่องค์กรเอนเทอร์ไพรส์ ไอแอม คอนซัลติ้ง จึงได้สรุปแนวคิดในการพัฒนาและจัดการองค์กร ด้วย “หลัก 3 รู้” ได้แก่ หนึ่ง รู้ทันเทรนด์ สอง รู้หลักปรับตัว และ สาม รู้จักเพื่อนคู่คิดมิตรไว้ใจ” ที่จะช่วยเป็นแนวทางสู่การบริหารองค์กรธุรกิจให้ฝ่าวิกฤตดิจิทัลได้”
1. “รู้” ทันเทรนด์
ในแต่ละปีเทรนด์เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น องค์กรจึงไม่สามารถหยุดอยู่กับแค่เทรนด์ใดเทรนด์หนึ่งได้ ต้องศึกษาอย่างลึกซึ้ง โดยไอแอม คอนซัลติ้ง มองว่าเทรนด์ที่จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากกับเอนเทอร์ไพรส์ในปี 2019 มีดังนี้
1.เทคโนโลยี Blockchain
ด้วยจุดเด่นที่เป็นการเก็บข้อมูลที่ปราศจากคนกลางและมีความโปร่งใสสูง จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนได้เข้ามามีบทบาทกับธุรกิจในแทบทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน ธุรกิจสุขภาพ โรงงานอุตสาหกรรม หรือกระทั่งธุรกิจอาหาร นอกจากนั้นยังได้มีการนำเอาบล็อกเชนเข้ามาใช้กับระบบ ERP (Enterprise Software Platforms) ในส่วนของการเงิน ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการทำงานไร้รอยต่อ อำนวยความสะดวกให้สามารถแชร์ข้อมูล และเพิ่มความเชื่อมั่นต่อข้อมูลที่มีได้
2.เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence)
เทรนด์ตอนนี้มีการใช้ Chatbot เข้ามาช่วยเป็นด่านหน้าในการติดต่อกับลูกค้า โดยใช้ Machine Learning ทำให้ Bot ฉลาดมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาและเริ่มใช้ความสามารถของ AI เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลและพัฒนาธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยไอแอม คอนซัลติ้งเอง ก็ได้ให้บริการการพัฒนา Chatbot เพื่อใช้ในองค์กรด้วยเช่นกัน
3.ปรับองค์กรเป็น Digital workplace
ด้วยการทำงานในองค์กรนั้นประกอบด้วยพนักงานหลายเจนเนอเรชัน องค์กรเองต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและรูปแบบการทำงานให้เข้ากับคนทำงาน โดยการงานในลักษณะที่เป็น Agile (อไจล์) นั้นจะช่วยให้การทำงานระหว่างเจนเนอเรชันเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากจะเกิดการทำงานเป็นทีมและต้องมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง หากเกิดปัญหาจะทำให้สามารถแก้ไขได้รวดเร็ว การเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน และสร้างบรรยากาศการทำงานให้สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา และมีการลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป จะนำไปสู่การสร้างองค์กรให้มีลักษณะเป็น Agile Organization อีกทั้งการนำเอาเครื่องมือดิจิทัลมาช่วยอำนวยความสะดวกกับพนักงานก็ยังจะเป็นการช่วยให้สามารถติดตามการทำงาน และประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. “รู้” หลักปรับตัว
องค์กรต้องพิจารณา และตอบให้ได้ ว่าเป้าหมายในด้านการแข่งขันทางธุรกิจทั้งในระดับภูมิประเทศ และในระดับภูมิภาคคืออะไร เพื่อที่จะได้นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และขับเคลื่อนให้ไปถึงจุดหมายอย่างไรต่อไป ในขณะที่องค์กรธุรกิจต่างเร่งปรับตัวและเปลี่ยนแปลงองค์กรเพื่อสามารถแข่งขันในตลาด ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงขององค์กรจะต้องมาจากความต้องการที่จะเปลี่ยนอย่างจริงจัง โดยจะต้องเกิดการทำ “Change Management” อย่างมีระบบ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงองค์กรนั้น ต้องเริ่มจากภายในด้วยการปรับมุมมองของบุคลากรก่อน เนื่องจากคนคือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร โดยต้องพัฒนาคนให้มี “Digital Mindset” พร้อมที่จะรับ และเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการพัฒนาฮาร์ดแวร์ หรือซอฟท์แวร์ รวมทั้งดำเนินการเปลี่ยนแปลงไปตามแผนงานที่วางไว้อย่างต่อเนื่องจึงจะเกิดผลสำเร็จต่อองค์กร
3. “รู้จัก” เพื่อนคู่คิดมิตรไว้ใจ
การนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยเสริมทัพให้กับระบบหลังบ้านนั้นเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแรง เพราะระบบหลังบ้านคือส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้องค์กรเดินหน้าได้อย่างมั่นคง การมีระบบ Core Backend ที่ดี จะช่วยให้องค์กรทำงานได้คล่องตัว โดยระบบที่ดีจะช่วยเชื่อมต่อทั้งจากหน้าบ้าน และหลังบ้าน รวมถึงเชื่อมต่อระหว่างองค์กรและลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นด้วย
จากประสบการณ์การให้คำปรึกษา และพัฒนาระบบเอนเทอร์ไพรส์ไอทีมากว่า 10 ปีของไอแอม คอนซัลติ้ง ได้มองเห็นว่า องค์กรสามารถเลือกสรรเอาเทคโนโลยีมาช่วยต่อยอดจากระบบหลังบ้านที่องค์กรมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การต่อยอดระบบ Core ERP เดิมให้เข้าสู่ระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย การนำ เอาโมบายล์มาช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ไม่ว่าจะช่วยในเรื่องการจัดการคลังสินค้า ระบบทรัพยากรมนุษย์ และระบบอื่นๆ ดังนี้
-Digital Core ERP: ต่อยอดระบบ ERP เดิมให้เข้าสู่ระบบคลาวด์ สำหรับในองค์กรที่ใช้งานระบบ SAP ERP VER 6.0 สามารถเตรียมความพร้อมเพื่ออัพเกรดให้เป็นระบบ “SAP S/4HANA" ซึ่งเป็นระบบที่มีความพร้อมสูงสุด สำหรับการต่อขยายธุรกิจขององค์กรได้ในอนาคต
-Digital Warehouse Management: ในองค์กรที่มีคลังสินค้า เพื่อนำให้องค์กรเข้าสู่การเป็น Digital Transformation จำเป็นที่จะต้องเสริมสร้างมาตรฐานและความแข็งแกร่งของข้อมูลการจัดการคลังสินค้า ด้วยระบบ “Standard SAP WM Module" โดยทุกคนสามารถทำงานได้บนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงระบบคลังสินค้า และสะดวกในการกรอกข้อมูล ทั้งในเรื่องของการเคลื่อนย้ายสินค้าในคลัง มีการจัดการข้อมูลในระบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถเห็นในทุกกิจกรรม อีกทั้งการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนนั้นยังช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ในคลังสินค้าให้ดีขึ้นด้วย
-HR on Cloud: เพราะคนคือส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ระบบงานทรัพยากรบุคคลทางด้านไอที ควรออกแบบให้ครอบคลุมตั้งแต่การบริหารจัดการพนักงานอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้อยู่ในรูปแบบที่พนักงานเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ จนถึงการพัฒนาบุคลากรให้เป็นไปในแนวทางขององค์กรเอง และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกในรูปแบบของ Anywhere, Anytime, Any Devices ด้วยระบบ “SAP SuccessFactors" ที่ทำงานบนระบบคลาวด์ และใช้งานบนอุปกรณ์สมาร์ทโฟนจึงเป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงติดตามการทำงานของพนักงานในองค์กรได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม นอกจากนั้นยังมี Mobile Workforce หรือ ระบบบริหารงานทรัพยากรบุคคลที่อำนวยความสะดวกให้พนักงาน และหัวหน้างาน ใช้งานผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟน โดยเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบบริหารงานทรัพยากรบุคคลหลังบ้าน เพื่อตอบสนองการปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรดิจิทัลได้เป็นอย่างดี
“ในการบริหารจัดการระบบหลังบ้าน ไม่ใช่แค่เพียงทักษะการพัฒนาระบบด้านไอที แต่ยังต้องมีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา และสามารถบริการจัดการทรัพยากรของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม ไอแอม คอนซัลติ้งมีทีมงานที่ปรึกษาซึ่งมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในการพัฒนางานระบบ และบริหารจัดการโครงการให้ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด โดยเรามีความมุ่งมั่นที่จะนำเอาความเชี่ยวชาญทั้งหมดที่เรามี มาช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถขับเคลื่อนธุรกิจเป็น Digital Transformation Organization เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ ในปี 2019 นี้ได้อย่างมั่นใจ” นายกริช กล่าวเสริม
สำหรับผู้ที่สนใจติดตามเทรนด์เทคโนโลยี และระบบเอนเทอร์ไพรส์ไอที สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.iamconsulting.co.th