​"ไทยยูเนี่ยน" เตรียมออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน เสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างทางการเงิน

ลงทุน การเงิน ธนาคาร เศรษฐกิจ

‘ไทยยูเนี่ยน’ เตรียมออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน เสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างทางการเงิน

ยกระดับความเป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลก พร้อมสร้างโอกาสเติบโตเชิงธุรกิจ คาดเสนอขาย 26-28 พ.ย.นี้

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ไทยยูเนี่ยน (TU) ประกาศเดินหน้าระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไปในวงเงินจำนวน 4 พันล้านบาทและส่วนสำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติมจำนวน 2 พันล้านบาท รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 6 พันล้านบาท ย้ำวัตถุประสงค์หลักเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างทางการเงินสอดคล้องกับโครงสร้างธุรกิจในฐานะผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลก ตอกย้ำเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว เชื่อได้รับการตอบรับจากนักลงทุน เหตุธุรกิจมีศักยภาพและโอกาสเติบโตในอนาคต สะท้อนผ่านการจัดอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรจากทริส เรทติ้ง ในระดับ A+ และของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ระดับ A- ขณะที่บริษัทฯ ยังเดินหน้าสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน จนได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน และคว้าอันดับ 1 ผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรมของโลกใน Food Industry จาก DJSI 2 ปีติดต่อกัน นอกจากนี้นวัตกรรมยังเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตของบริษัท

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เปิดเผยว่า ไทยยูเนี่ยนกำลังอยู่ระหว่างการจัดโครงสร้างทางการเงินให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยได้พิจารณาออกและเสนอขาย “หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด และมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2562” โดยผู้ออกหุ้นกู้สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดในวันครบกำหนด 5 ปี หรือตามเงื่อนไขอื่นๆ ที่กำหนดไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลฯ และร่างหนังสือชี้ชวน อัตราดอกเบี้ย 5 ปีแรก 5.00% ต่อปีจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน คาดจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือผู้ลงสถาบันในระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายนนี้ โดยบริษัทให้ความไว้วางใจในการแต่งตั้ง ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร เป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้

“บริษัทดำเนินธุรกิจมากว่า 40 ปี เราประสบความสำเร็จในการสร้างบริษัทที่แข็งแกร่งและมีผลิตภัณฑ์กว่า 14 แบรนด์ที่ขยายไปทั่วโลก เราต้องการจัดโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้นผ่านการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน เพื่อให้สอดคล้องกับความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจของบริษัท และมีการเติบโตที่ต่อเนื่องและเข้มแข็งไทยยูเนี่ยนนอกจากเป็นผู้ผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องอันดับ 1 ของโลกแล้ว เรายังมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกสูง ด้วยสินค้าที่มีความหลากหลายและจำหน่ายให้กับลูกค้าทั่วโลก ทำให้เราสามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ”

ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนนอกจากจะเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าที่คนไทยรู้จักกันดีคือผลิตภัณฑ์ทูน่ากระป๋อง ซีเล็ค (SEALECT)อาหารทานเล่น ฟิชโช (Fisho) และโมโนริ (Monori) อาหารทะเลคุณภาพสดใหม่ คิวเฟรช (Qfresh) และเคาน์เตอร์อาหารทะเลธรรมชาติ ซีฟู้ด และอาหารสัตว์เลี้ยง Belotta และ Marvo แล้ว ไทยยูเนี่ยนยังมีแบรนด์ต่างๆ ทั่วโลก ได้แก่ John West แบรนด์อาหารทะเลบรรจุกระป๋องอันดับ 1 ในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์ Petit Navire และ Parmentier ซึ่งเป็นแบรนด์อาหารทะเลบรรจุกระป๋องชั้นนำของประเทศฝรั่งเศส Mareblu ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าในประเทศอิตาลีRügen Fisch ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปในประเทศเยอรมันChicken of the Seaซึ่งเป็นแบรนด์อาหารทะเลบรรจุกระป๋องอันดับ 3 ในสหรัฐอเมริกา และ Genova ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทูน่าระดับพรีเมียมในตลาดสหรัฐอเมริกา รวมถึง King Oscar แบรนด์ชั้นนำซาร์ดีนอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ และออสเตรเลีย เป็นต้น

ไทยยูเนี่ยน ยังคว้าอันดับ 1 ผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรมของโลกใน Food Industry 2 ปีติดต่อกันในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน โดยมี SeaChange® หรือกลยุทธ์ความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยนเป็นตัวขับเคลื่อนความยั่งยืนของบริษัททั่วโลก

นอกจากนี้ ศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน ที่ตั้งขึ้นในปี 2558 ยังเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครือทั่วโลก รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อมาพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตและหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อสร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับลูกค้า ผู้บริโภค และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยทำหน้าที่เชื่อมโยงทางวิทยาการโภชนาการสมัยใหม่เข้ากับนวัตกรรมการผลิต เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและอุตสาหกรรมอาหารโลก นักวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอกมากกว่า 40 ท่านและนักวิจัยกว่า 120 คนทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางทะเล วิศวกรรม ชีวการแพทย์ ศาสตร์ทางด้านอาหารและโภชนาการจากทั่วโลก

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 1.33 แสนล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 47,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด ทำให้ในปี 2561 และ 2562 ไทยยูเนี่ยนได้เป็นผู้นำอันดับ 1 กลุ่มอุตสาหกรรมของโลกใน Food Industry ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ และประสบความสำเร็จในการได้รับคะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดที่ 100 ในคะแนนด้านความยั่งยืนทั้งหมด ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index ในปี 2561 อีกด้วย

  • ผู้โพสต์ :
    comman
  • อัพเดทเมื่อ :
    9 ต.ค. 2019 18:39:08

ลงข่าวประชาสัมพันธ์ ฟรี คลิกที่นี่

 

X

เว็บไซต์เรามีการใช้คุกกี้ คลิกเพื่อดู นโยบายคุกกี้ และ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา