เส้นทางของ “ซีอีโอ” และการเป็นผู้บริหาร วัยเพียง 48 ปี ของ คุณชุติญา ศรีสุนทรประภา หรือ คุณญ่าศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัทยัวร์บิวตี้ อินโนเวชั่น จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแบรนด์ “เมอร์ทิซ” (Merthis) ไม่ได้โปรยด้วยกลีบกุหลาบ และ ผ่านขวากหนามมาอย่างที่เรียกว่า “ชีวิตต้องสู้” กว่าจะขึ้นมากุมบังเหียนธุรกิจในเครืออีก 5 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจวางระบบดูแลลูกค้าบัตรให้กับธนาคารพาณิชย์ , ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า , ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์,ธุรกิจไฟแนนซ์ และ ธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสำหรับผู้หญิงในวัย 48 ปี แต่ “คุณญ่าศรี” ก็สามารถขึ้นแท่นผู้บริหารมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว
“ คือ เรามาจากคนยากจน...” ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ “เมอร์ทิซ” เปิดใจและยอมรับว่า ก่อนจะขึ้นมาเป็นผู้บริหารนั้น ไม่ได้เป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย และ เรียนจบเพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เท่านั้น แต่ด้วยความอุตสาหะพากเพียร จึงทำงานไปด้วยและส่งตัวเองเรียนในการเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) และ เรียนต่อระดับปริญญาตรี และ ปริญญาโท ตามลำดับ โดยปัจจุบันมีดีกรีระดับปริญญาโท จากคณะบริหารธุรกิจสาขาวิชาการเป็นผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยรังสิต
ด้วยความที่คุณญ่าศรีมีความรักสวยรักงาม ชอบใช้เครื่องสำอางจากเคานท์เตอร์แบรนด์ และ มีความฝันที่จะเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมาตั้งแต่ยังวัยรุ่น จึงพยายามที่จะเดินสู่เส้นทางการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว จนกระทั่งเส้นทางชีวิตเปิดโอกาสในปี 2556 ได้มีโอกาสพบผู้วิจัยผลิตภัณฑ์ดูแลผิว จึงมีการพูดคุยกันว่า ถ้าจะต่อยอดและพัฒนาสินค้าในอนาคตจะมีโอกาสเป็นไปได้ไหม เมื่อมีโอกาสเป็นไปได้จึงเริ่มลงทุนผลิตสินค้าและทำตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ภายในแบรนด์ “เมอร์ทิซ” (Merthis)
“คือเริ่มต้นเราทำธุรกิจเราด้วยการเอาท์ซอร์สซิ่งให้กับบริษัทบัตรกรุงไทย เดิมทีก็จะมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ อเมริกันเอ็กซ์เพรส คือ โปรเจกต์แต่ละโปรเกต์ก็จะทำขึ้น แล้วก็หยุดไป แต่หลักๆที่ยังทำยืนยาวนานมา ก็เป็นบริษัทบัตรกรุงไทย ก็ทำมาสิบกว่าปีแล้ก็ทำมาตั้งแต่ปี 2553 ก็เป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และ ก้าวกระโดดมาโดยตลอด ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก หลังจากนั้นเราก็เลยรู้สึกว่า พอเรามีธุรกิจนี้ เราวางระบบไว้แล้วเรียบร้อย ทีนี้ ในส่วนที่เราทำธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เป็นการตามหาความฝัน ซึ่งผู้หญิงก็จะรู้สึกว่าชอบ คือ ชอบอะไรล่ะ ชอบความงาม ชอบเครื่องสำอาง ไปหมกหมุ่นอยู่เคานท์เตอร์แบรนด์ เท่าไหร่ก็เอา ประมาณนั้น อารมณ์ประมาณนั้น พอเป็นเคานท์เตอร์แบรนด์ สกินแคร์ มันก็เป็นช่วงอายุ คือ ญ่าศรีฯ ไม่ได้มาจากคนมีฐานะ สมัยก่อน เป็นคนจนมา แต่ใช้เคาท์เตอร์แบรนด์ตั้งแต่อายุ 15 สมัยก่อน 15 กระปุกละ 1,000 กว่า 2,000 ก็ค่อยๆใช้ทีละนิดๆ ใช่ไหม ประหยัดใช้ แต่เป็นคนที่เชื่อมั่นสิ่งหนึ่ง คือ ใช้ของดีมันก็จะดี แต่ๆด้วยความที่อันนั้นก็พักไว้ก่อน เราก็มาทำธุรกิจที่มันเป็นความชำนาญ ก็ถูกก้าวกระโดดมาทำธุรกิจนี้ เป็นจัดเตรียมเอกสารให้ธนาคารต่างๆ
พอมาทำธุรกิจ เราก็ยังซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวน่ะ ซื้อที10,000 กว่าบาท และ ในอนาคตเราก็คิดว่า เราจะซื้ออย่างนี้ต่อไปไหวไหม ก็คือ รู้สึกมีคำถามว่า เราซื้ออย่างนี้ไหวไหม แล้วคนไทยล่ะ ทำยังไงให้คนไทยได้ใช้ของราคาที่หลักพัน เราคำนวนต้นทุนโน่นนี่นั่น ทำยังไงหลักพัน แต่คุณภาพหลักหมื่น ก็คุยกับน้องเขา พี่มี 3 เงื่อนไข ก็คุยกับน้องเขาว่า โรงงานที่จะผลิตครีมตัวนี้ ได้มาตรฐานไหม เพราะพี่จะต้องทำอะไรที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง สองพี่สามารถสร้างแบรนด์เองได้ไหม และ 3.พี่สามารถปรับสูตรได้อีก พัฒนาสูตรตามความต้องการไหม เพราะคือเราใช้หลายแบรนด์ เรารู้สึกว่า อะไรที่มันจะแก้ปัญหาตรงไหน ให้กับผู้หญิงที่อยู่ในวัยนี้ แล้ววัยทำงานอย่างเรา ผิวคอลลาเจน อิลาสตินก็ถูกทำลาย แต่เมื่อเวลาเราไปซื้อเคานท์เตอร์แบรนด์ เพื่อจะแก้ปัญหาผิว เช่น ลบเลือนริ้วรอยก็ประปุกหนึ่ง ยกกระชับก็กระปุกหนึ่ง กันแดดก็อีกกระปุกหนึ่ง เรื่องผิวอุ้มน้ำก็อีกกระปุกหนึ่ง สามกระปุก 30,000 สิคะ เราก็เลยมาเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเองภายใต้แบรดน์เมอร์ทิซ” คุณญ่าศรี เล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง
เส้นทางของ “คุณญ่าศรี”นั้น ก่อนที่จะเริ่มมาเป็นผู้บริหารในแวดวงสินค้าประเภทเครื่องสำอาง เธอโลดแล่นเป็นพนักงานประจำอยู่ในธุรกิจธนาคารด้านสินเชื่อและบัตรเครดิต จนกระทั่งมีฝีมือและมีประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญ จึงออกมาตั้งบริษัทรับวางระบบบัตรให้กับบริษัทบัตรกรุงไทย ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2553 ภายใต้ชื่อบริษัทซิมบอลิกเซอร์วิสมายด์ จำกัด ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับการวางระบบที่เธอถนัด โดยเธอนั่งตำแหน่ง “รองประธานกรรมการและที่ปรึกษาบริษัทด้วยวัยเพียง 38 ปีเท่านั้น
ที่สำคัญ คุณญ่าศรียังเล่าว่า แบรนด์ “เมอร์ทิซ” ยังมาจากไอเดียของลูกสาววัยเพียง 10 กว่าขวบ ที่นำชื่อบริษัทด้านการวางระบบบัตรให้กับธนาคาร มาผสมผสานใหม่เป็นชื่อ “เมอร์ทิซ” โดยปัจจุบันลูกสาวของญ่าศรีอายุ 20 กว่าปีแล้ว และ ยังเป็นพรีเซนต์เตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ด้วย
นอกจากคุณญ่าศรี จะโดดเด่นเรื่องฝีมือการบริหารงานแล้ว เมื่อธุรกิจตั้งหลักได้และเดินได้อย่างมั่นคงในระดับหนึ่ง เธอยังเดินหน้าทำในสิ่งที่ชอบ คือ การปวารณาตัวเป็นโยมอุปัฎฐากพ่อแม่ครูอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต โดยลงทุนซื้อบ้านมูลค่า 5 ล้านกว่าบาท บนที่ดินย่านคลอง 3 จังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นเรือนรองรับพ่อแม่ครูอาจารย์ซึ่งท่านได้เดินทางมาโปรดเทศนาธรรมแก่ญาติโยม และ เดินทางมาเพื่อรักษาธาตุขันธุ์ตามกิจนิมนต์ที่ได้รับจากญาติโยม โดยใช้ชื่อว่า “เรือนออมบุญ”
“ตั้งใจทำตรงนี้มานานแล้ว เมื่อมีโอกาสจึงทำ และ สามีคือ คุณแดง ได้เป็นคนที่ออกแบบห้องต่างๆ โดยมีอัฎบริขารไว้ในเรือน เพื่อรองรับพ่อแม่ครูอาจารย์ฯ ให้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยทุกอย่าง” คุณญ่าศรี เล่าให้ฟังถึงการที่ตนเองและครอบครัวเดินหน้าสู่สายธรรม
เรื่องราวของคุณญ่าศรี หรือ คุณชุติญา ศรีสุนทรประภา จึงเต็มไปด้วยอรรถรสที่อิ่มเอมใจทั้งทางโลก และ ทางธรรม ที่ตรงกับประโยคที่ว่า “โลกก็ไม่ช้ำ ธรรมก็ไม่ขุ่น”