“ศิษย์ดีเพราะมีครู” ยังคงเปรียบเสมือนอมตะวาจาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งไม่สามารถจะลบล้างออกไปได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนสำนึกและรำลึกถึงพระคุณครู ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ยืนยันคำพูดดังกล่าว นั่นคือ “อ.หนุ่ม-ศุภชัย อนุที” เจ้าของฉายา “อ.หนุ่มหมอดูเทวดา 5G ชี้ทางรวย” และเจ้าของ แชมป์หมอดูแห่งประเทศไทย ในรายการแข่งขันศึกชิงจ้าวหมอดู Season 2 Horolive ประเทศไทย ปี 2554 โดย อ.หนุ่ม จะจัดพิธีไหว้ครูเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะที่บ้านเกิดจังหวัดพัทลุง เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณครู
ซึ่งล่าสุด อ.หนุ่ม ได้จัดพิธีไหว้ครูครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ณ วัดบ้านแก ต.บ้านพราน อ.แสวงหา จ.อ่างทองโดยมีลูกศิษย์ ศิลปิน นักแสดง บุคคลในแวดวงบันเทิงและนักธุรกิจ มาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง นำโดย ชัช แทนกาย-ทรงธรรม พลอยกาบทอง ผู้บริหารธุรกิจบันเทิงและผู้จัดละคร-ผู้สร้างภาพยนตร์ พร้อมด้วย คุณอ้อย-ฐิติรัชต์ รักบุณยเกียรติ์ ผู้บริหาร บริษัท ฟอลโลมี เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด,ดร.สาโรจน์ ดาราสมาน,ดร.ปณฐ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา,ดร.ปิยา เสนีวงศ์ ณ อยุธยา,เก่ง-ธชย ประทุมวรรณ นักร้อง,ไอซ์-นิธิศ วงศ์เหรียญไทย,ดนฐ์-กณิณ ปัทมนันถ์,โต๊ส-อัครัช จิตตะศิริมา,มินนี่- ศุจีภรณ์ เซี่ยงหวอง,กาต่าย-เพชรปวีณ์ หิรัญกุลชัชวาล,แอน-ธิดารัตน์ มากศรี,แอปเปิ้ล-กิรษา หอมเสียง,มาร์ติน ไซเดิ้ล,เอม-อวิกา ธรรมสโรช, อ๋อง-พิสิทธิ์ พิมพ์ใส, อ็อด-ราเมศ เรืองประทุม ผู้กำกับภาพยนตร์ และ ครูมิ้ง-เพ็ญจันทร์ วงศ์สมเพ็ชร แอคติ้งโค้ช
อ.หนุ่ม หมอดูเทวดา 5G ชี้ทางรวย กล่าวว่า สังคมไทยตั้งแต่โบราณแล้วจะให้ความสำคัญกับครูบาอาจารย์มาก ๆ อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นบรมครูของโลกพระองค์หนึ่งท่านได้สร้างบารมีมาเป็นอสงไขย ค้นคว้าและลองผิดลองถูกในวิชาพ้นทุกข์แบบนับครั้งไม่ถ้วนกว่าจะทรงหาวิธีได้ โดยพระองค์ท่านได้นำเอาชีวิตเป็นเดิมพัน คำสอนของพระองค์ท่านจึงถึงว่าบริสุทธิ์และถูกต้อง เป็นครูที่สามารถอธิบายเรื่องของ “ใจ” แห่งการพ้นทุกข์ได้ละเอียดที่สุด
“พูดถึงพิธีไหว้ครูแล้ว นับว่าเป็นพิธีกรรมหนึ่งในการแสดงออกถึงความเคารพนบนอบที่ศิษย์มีต่อครู ดั่งคำบาลีที่ใช้เป็นบทไหว้ครูโดยทั่วไปว่า ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา แปลว่า ครูอาจารย์เป็นผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่ง เป็นผู้พร่าสอนศิลปวิทยากร และ ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง แปลว่า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเหล่านั้น ผู้ให้โอวาท ผู้ทาให้ปัญญาเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ครู อาจารย์เหล่านั้น ด้วยความเคารพ”
อ.หนุ่ม กล่าวด้วยว่า ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า พิธีไหว้ครูนั้น จะเป็นสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์และสานสายใยให้เกิดความรู้สึกดี ๆ ระหว่าง ครูในฐานะผู้ให้ และ ศิษย์ในฐานะผู้รับ ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ โลกไร้พรมแดน สังคมยุคดิจิทัล ที่ความรู้สามารถเสาะหาได้ทางอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นครูไร้ชีวิตที่มีการสื่อสารทางเดียว ถึงกระนั้นทุกคนยังคงต้องการครูผู้มีชีวิตและจิตใจหาให้พร้อมทั้งแนะนำความรู้อยู่วันยังค่ำ ท่านเป็นผู้ที่จุดประทีปแห่งปัญญาให้เราได้นำความรู้ความสามารถไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคม
“ส่วนตัวผมเองแล้ว ผมไม่เคยลืมครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ในสาขาต่าง ๆ ที่ผมได้นำมาใช้ในชีวิตเพื่อให้เกิดความสำเร็จ โดยนำความรู้ที่นอกจากช่วยเหลือตนเองและครอบครัวแล้ว ยังนำไปช่วยเหลือผู้คนให้เกิดสัมฤทธิผล อีกทั้งทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมอย่างต่อเนื่อง เช่น การสำนึกรักบ้านเกิด การมอบทุนการศึกษา เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้กับน้อง ๆ ผู้ที่จะเป็นทรัพยากรบุคคลที่ดีของชาติบ้านเมืองสืบต่อไปในอนาคต”
ชัช แทนกาย หนึ่งในลูกศิษย์ อ.หนุ่ม กล่าวเสริมว่า พระพรหมคุณาภรณ์ ท่านได้เขียนในหนังสือชื่อ “ธรรมนูญชีวิต” โดยท่านกล่าวว่า ในทางพุทธศาสนาแล้ว ถือว่า “ครูอาจารย์” คือ ทิศเบื้องขวา หมายถึง ผู้ที่ควรเคารพ ซึ่งมีหน้าที่ต่อศิษย์ตามหลักธรรมอยู่ 5 ประการด้วยกันคือ 1. แนะนำฝึกอบรมให้เป็นคนดี 2. สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง 3. สอนศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง 4. ส่งเสริมยกย่องความดีงามความสามารถให้ปรากฏ 5. สร้างเครื่องคุ้มภัยในสารทิศ คือ สอนฝึกให้สามารถใช้วิชาเลี้ยงชีพ และรู้จักดำรงรักษาตนในอันที่จะดำเนินชีวิตต่อไปด้วยดีและในฐานะศิษย์
“นอกจากนี้ในทางพุทธศาสนาได้สอนให้ศิษย์แสดงความคารวะนับถือตอบครูอาจารย์ 5 ประการ ด้วยเช่นกัน คือ 1. ลุกต้อนรับ แสดงความเคารพ 2. เข้าไปหา เพื่อบำรุง รับใช้ ปรึกษา ซักถาม รับคำแนะนำ 3. ฟังด้วยดี ฟังเป็น รู้จักฟังให้เกิดปัญญา 4. ปรนนิบัติ ช่วยบริการ 4. เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจัง ถือเป็นกิจสำคัญ อย่างไรก็ตามอย่างให้ทุกคนได้ตระหนักและสำนึกถึงพระคุณครู ไม่ว่าจะเป็นครูที่อยู่ในระบบหรือนอกระบบก็ตามที ผมเชื่อว่าทุกท่านเป็นผู้ที่มีจิตและวิญญาณแห่งความเป็นครูผู้ให้ความรู้และความเมตตากรุณาอยู่เปี่ยมล้น มาช่วยกันทำให้คำกล่าวที่ว่า...ศิษย์ดีเพราะมีครู...เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างแท้จริง และจะเป็นดัชนีชี้วัดความเจริญก้าวหน้าของประเทศนั้น ๆได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว”