รายล้อมด้วยมรดกทางธรรมชาติและมรดกจากมนุษย์อันยิ่งใหญ่ เดอะเชดีเฮกรา (The Chedi Hegra) จะเป็นโรงแรมแห่งแรกที่ต้อนรับแขกผู้เข้าพักสู่ประสบการณ์หรูหราอันเป็นเอกลักษณ์อย่างแท้จริง ลึกเข้าไปในแหล่งโบราณคดีแนบาเทีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย โดยราชกรรมาธิการอัลอูลา (Royal Commission for AlUla) หรือ RCU ได้เลือกบริษัทบริหารโรงแรมหรูจีเอชเอ็ม (GHM) ให้เป็นผู้ดำเนินการโรงแรมแห่งนี้ในชื่อ เดอะเชดีเฮกรา
ตั้งอยู่ภายในแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO) แห่งแรกของซาอุดีอาระเบียและจะเปิดให้บริการภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 เดอะเชดีเฮกราจะให้บริการห้องพัก 35 ห้องที่ผ่านการออกแบบมาอย่างพิเศษ แต่ละห้องต่างมีความเชื่อมโยงกับภูมิทัศน์ที่แตกต่างกันของเฮกรา ที่ซึ่งเป็นประจักษ์พยานอันน่าทึ่งในการแสดงออกของมนุษย์ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
ราชกรรมาธิการอัลอูลากำลังสร้างโรงแรมตรงเข้าไปในโครงสร้างหลายแห่งที่มีอยู่ รวมถึงสถานีรถไฟเก่าและอาคารโดยรอบ ป้อมเฮกรา และอื่น ๆ โครงสร้างและกำแพงภายนอก ซึ่งบางแห่งก่อสร้างด้วยอิฐโคลนโบราณนั้น ได้รับการอนุรักษ์และผสมผสานเข้ากับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ โดยการก่อสร้างโรงแรมแห่งนี้จะไม่แตะต้องพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นมรดกโลกของยูเนสโก และมีการอนุรักษ์อย่างระมัดระวังโดยราชกรรมาธิการอัลอูลา เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของมรดกทางธรรมชาติและมรดกจากมนุษย์ที่น่าทึ่งของเฮกรา
นอกจากนี้ ราชกรรมาธิการอัลอูลายังรับประกันว่าการออกแบบและการก่อสร้างทั้งหมดนั้นสอดคล้องกับกฎบัตรความยั่งยืนแห่งเมืองอัลอูลา (Sustainability Charter) รวมถึงแนวทางการท่องเที่ยวแบบลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด (light-touch tourism) โครงสร้างพื้นฐานแบบสร้างสรรค์ การปลูกพืชพื้นเมือง และระบบการสัญจรที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด โครงการนี้จะใช้วัสดุก่อสร้างจากท้องถิ่นในจุดที่สามารถทำได้ และทำงานร่วมกันธุรกิจและแรงงานท้องถิ่น และโรงแรมคาดว่าจะสร้างงานอย่างน้อย 120 ตำแหน่งเมื่อเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ
โรงแรมแห่งนี้จะมีห้องอาหารแบบไฟน์ไดน์นิง 3 แห่ง มีคาเฟ่ สปาที่ให้บริการเต็มรูปแบบและสระว่ายน้ำ โดยอาคารต่าง ๆ จะมีหลังคาทางเชื่อมที่เน้นสร้างทัศนศิลป์ผ่านการเคลื่อนไหวของลมและแสงธรรมชาติ
ห้องอาหารแต่ละแห่งในโรงแรมจะมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้แก่แขกผู้เข้าพักและท่านอื่น ๆ ผู้มาเยือนเฮกรา หนึ่งในห้องอาหารตั้งอยู่ภายในสถานีรถไฟเก่า ซึ่งจะจัดแสดงนิทรรศการโบราณวัตถุที่เก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี รวมถึงรถไฟที่ได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมด ส่วนอีกห้องอาหารจะอยู่ภายในป้อมเฮกรา และห้องอาหารแห่งที่สามจะให้คุณได้กินลมชมวิวแบบไม่มีอะไรกั้นจากโซนนั่งเล่นที่ทำเป็นหลุมลดระดับที่ล้อมรอบด้วยแอ่งน้ำ
คุณจอห์น นอร์เธน (John Northen) รองประธานและหัวหน้าฝ่ายโรงแรมและรีสอร์ตประจำราชกรรมาธิการอัลอูลา กล่าวว่า "โรงแรมเดอะเชดีเฮกราตั้งอยู่ ณ ใจกลางของพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตของอัลอูลา เป็นการปฏิบัติตามแผนแม่บท "การเดินทางข้ามกาลเวลา" (Journey Through Time) อย่างเป็นรูปธรรมด้วยความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อมรดก คุณสมบัติการออกแบบที่ยั่งยืน และประสบการณ์อันหรูหราอย่างแท้จริง ซึ่งเฉลิมฉลองสิ่งที่ทำให้อัลอูลาเป็นจุดหมายปลายทางพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวที่แสวงหาทั้งความสะดวกสบายและการผจญภัย"
คุณทอมมี ไหล (Tommy Lai) ซีอีโอของเจเนอรัล โฮเต็ล เมเนจเมนต์ พีทีอี (General Hotel Management Pte Ltd) หรือ จีเอชเอ็ม (GHM) กล่าวว่า "จีเอชเอ็มรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เปิดตัวโรงแรมบูติกมรดกอันหรูหราแห่งนี้ ที่จะนำเสนอไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้ สัมผัสลึกเข้าไปในแหล่งโบราณคดีแนบาเทียแห่งเฮกรา ในฐานะโรงแรมแห่งแรกที่ตั้งภายในแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโกของซาอุดีอาระเบีย เรามุ่งมั่นที่จะรักษาความสมบูรณ์ของสถานที่ไปพร้อม ๆ กับการผสานรวมสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และความสะดวกสบายที่เข้ากันอย่างลงตัว ผมมั่นใจว่าแขกผู้เข้าพักจะรับรู้และชื่นชมคุณค่าที่เรามอบให้ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดผ่านความพยายามอย่างยั่งยืนของโรงแรม นอกเหนือไปจากความทุ่มเทของเราในการอนุรักษ์มรดกของเฮกรา อันเป็นจุดเด่นอย่างแท้จริงของจีเอชเอ็มในการสร้างสรรค์พื้นที่ที่ได้รับแรงบันดาลใจ"
หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ
ชื่อเมืองอัลอูลาในภาษาอังกฤษสะกดว่า AlUla เสมอ ไม่ใช่ Al-Ula
เกี่ยวกับราชกรรมาธิการอัลอูลา
ราชกรรมาธิการอัลอูลา (Royal Commission for AlUla หรือ RCU) ก่อตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาในเดือนกรกฎาคมปี 2560 เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาเมืองอัลอูลาในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ แผนการระยะยาวของราชกรรมาธิการอัลอูลาคือการพัฒนาเศรษฐกิจและเมืองด้วยความระมัดระวัง รับผิดชอบ และยั่งยืน พร้อมกับอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติในพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมให้เมืองอัลอูลาเป็นจุดหมายปลายทางการอยู่อาศัย ทำงาน และท่องเที่ยว เป้าหมายเหล่านี้ก่อให้เกิดโครงการมากมายทั้งในด้านโบราณคดี การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษา และศิลปะ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการตอบสนองต่อความหลากหลายทางเศรษฐกิจ การสร้างพลังให้กับชุมชน และการอนุรักษ์มรดกตกทอดตามวิสัยทัศน์ปี 2573 หรือ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย